60 ปีบริบูรณ์ "ขยายอายุรับเงินชราภาพ" "คำแสลงของผู้ประกันตนในระบบประกันสังคม
รู้ไหมว่าในช่วง 7 ทศวรรษ 1950 (ยุค 50) ที่ผ่านมาอายุขัยเฉลี่ยของคนในโลกมีเพียง 45.7-48.0 ปีขณะที่ในปัจจุบัน ปี 2020 อายุขัยเฉลี่ยของคนนั้นอยู่ที่ 72.6-73.2 ปี
โดยปรากฏการณ์ที่คนอายุยืนยาวดังกล่าวเกิดขึ้นมาจากหลายปัจจัย อาทิเช่น ความเจริญก้าวหน้าทางการแพทย์ของระบบสาธารณสุข ทำให้คนส่วนใหญ่ได้รับการป้องกันและรักษาเมื่อเจ็บป่วยได้ดีกว่าในอดีต หรือแม้กระทั่งเกิดโรคระบาดใหญ่ๆ เช่น ซาร์ หรือ โควิด 19 วิทยาการและความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์การแพทย์ก็สามารถรับมือและหาทางป้องกันรักษาพยาบาลได้ดีกว่าการระบาดของกาฬโรคหรือไข้หวัดสเปนในศตวรรษที่ผ่านๆ มา
นอกจากนี้ การศึกษาและฐานะทางเศรษฐกิจและความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นของประชากร จากการเติบโตของเศรษฐกิจ ทำให้ประชากรมีความรู้ มีศักยภาพที่สามารถดูแลตัวเองและครอบครัวได้ดีกว่าเดิม
แม้แต่ในประเทศไทยของเราเอง ที่คนส่วนใหญ่มีอายุที่ยืนยาวขึ้น จากในปี 2005 ที่คนสูงอายุมีสัดส่วนประมาณ 10% ของจำนวนประชากร มาวันนี้ 2022 กลับเพิ่มเป็น 20% กว่าของจำนวนประชากร
สัดส่วนประชากรที่อายุมากขึ้น ยังมาจากคนรุ่น Baby Boomer หลังช่วงสงครามโลก ซึ่งเกิดในช่วงปี1946-1964 ซึ่งเคยเป็นแรงงานอยู่ทยอยเกษียณกันมาอย่างต่อเนื่อง
ปัจจัยดังกล่าวทำให้ค่าใช้จ่ายในการดูแลผู้สูงอายุนั้นมากขึ้น ไม่เพียงแต่เป็นเรื่องท้าทายระบบประกันสังคม และการจัดหาสวัสดิการของรัฐบาลในหลายประเทศที่ต้องจัดสรรงบประมาณจำนวนมากมาดูแลกลุ่มคนสูงอายุ
แต่ยังรวมไปถึงรุ่นลูกของกลุ่มคนดังกล่าวที่กำลังอยู่ในวัยทำงานที่ต้องจัดสรรทรัพยากรมาดูแลกลุ่มคนดังกล่าวมากขึ้นตามไปด้วย และรุ่นลูกของลูกก็มีอัตราการเกิดน้อยลงๆ ทุกที ในเวลา 50 ปีที่ผ่านมา ต้องถือว่าสถานการณ์ประชากรไทย เปลี่ยนแปลงไปมากมาย อย่างเทียบกับเมื่อ 50 ปีที่แล้ว หรือปี พ.ศ.2513 ไทยมีประชากร 34.4 ล้านคน จนมาปี 2564 ไทยมีประชากรเพิ่มเป็น 66.5 ล้านคน
ทั้งนี้ เมื่อดูในรายละเอียดจะพบการเปลี่ยนแปลงทางโครงสร้างประชากรไทย จากปรากฏการณ์คนเกิดน้อยลง และคนไทยมีอายุยืนยาวขึ้น โดยข้อมูลพบว่า ในอดีตไทยมีสัดส่วนประชากรเด็กเป็นส่วนใหญ่คิดเป็นร้อยละ 45 หรือเกือบครึ่งของประชากรทั้งหมด แต่ปัจจุบันประชากรเด็กมีสัดส่วนร้อยละ 16 ของประชากรทั้งหมด ขณะเดียวกันแต่ก่อนประชากรสูงอายุมีน้อยมาก ประมาณร้อยละ 4.9 แต่ปัจจุบันมีสัดส่วนร้อยละ 18 หรือเรียกว่าเข้าสู่สังคมสูงวัยสมบูรณ์แล้ว และอีกไม่กี่สิบปีข้างหน้า ไทยจะเป็นสังคมสูงวัยระดับสุดยอด คือมีสัดส่วนประชากรสูงอายุมากถึง 1 ใน 3 ของประชากรทั้งหมด
ตอนนี้มีแนวความคิดของสำนักงานประกันสังคมประกันสังคมผู้ซึ่งดูแลกองทุนประกันสังคมของผู้ประกันตนทั้งลูกจ้างแรงงาน และผู้ประกอบอาชีพอิสระ ที่ไม่ใช่ข้าราชการและ พนักงารัฐวิสาหกิจ โดยพบว่าล่าสุดเมื่อ ต้นเดือน ธันวาคม2564 เลขาธิการประกันสังคม นายบุญสงค์ ทัพชัยยุทธ์ มีออกมาให้ข่าวในการขยายอายุผู้ประกันตนที่จะเข้าถึงสิทธิประโยชน์กรณีชราภาพไม่ว่าจะในรูปแบบบำเหน็จหรือบำนาญชราภาพ จากเดิมที่กฎหมายกำหนดไว้ ในปี พ.ศ. 2542 ตอนที่ พระราชบัญญัติประกันสังคมเริ่มมีสิทธิประโยชน์นี้เป็นครั้งแรกผ่านมากว่า 20 ปี จาก อายุ 55 ปี เป็น 60 ปีบริบูรณ์ โดยอ้างของอายุขัยเฉลี่ยของประชากรที่เพิ่มขึ้นของประชากรไทย ความยั่งยืนของกองทุน และอ้างถึงนานาชาติที่มีระบบประกันสังคมกำหนดอายุไว้ส่วนใหญ่ก็ที่ 60 ปีหรือมากกว่า โดยกล่าวว่าจะไม่มีผลต่อผู้ประกันตนเดิม และจะบังคับเฉพาะผู้ประกันรายใหม่หรือผู้ที่มีอายุน้อยเท่านั้น เมื่อโพสต์ดังกล่าวถูกโพสต์ลงในเพจเฟสบุ้คของสำนักงานประกันสังคมก็มีเสียงวิพากษ์วิจารณ์ออกมามากมายจนออกไปตามข่าวของสื่อมวลต่างๆ หลังจากนั้นไม่ถึง 2 วัน นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ในฐานะผู้มีอำนาจตามพระราชบัญญัติประกันสังคม ได้ออกได้โพสต์และให้ข่าว ว่าแนวความคิดนี้ไม่เหมาะกับสถานการณ์ในปัจจุบัน กระแสต่อต้านเรื่องนี้จึงยุติลงชั่วคราว พร้อมกับเรื่องที่ทาง 'กลุ่มขอคืนไม่ได้ขอทาน' เรียกร้องมาตลอด 2 ปี ให้มีการเข้าถึงสิทธิประโยชน์ชราภาพก่อน 55 ปี ผ่าน ช่องทาง คืนเงิน หรือ กู้เงิน และ สามารถเลือกรับเงินในรูปบำเหน็จหรือบำนาญได้ตามชอบ ก็เงียบไปตามกัน
ความเห็นของหมอบูรณ์มีความเชื่อว่าการแก้ไขกฎหมายควรให้เข้ายุคสมัย และมีความคล่องตัวให้ทันกับเหตุการณ์ต่างๆ ได้ การแก้ไขเรื่องอายุรับเงินชราภาพไม่ใช่เรื่องที่ทำไม่ได้ แต่ต้องทำให้เป็นธรรมกับผู้ประกันตน ไม่ใช่ทำให้ไม่ให้กองทุนไม่ล้มอย่างเดียว การขยายอายุผู้ประกันออกไปเป็น 60 ปี จะกระทำได้ก็ต่อเมื่อผู้ประกันตนโดยเฉพาะผู้ใช้แรงงานสามารถทำงานต่อถึง 60 ปีได้จริงๆ โดยเฉพาะแรงงานตามโรงงานอุตสาหกรรม ที่ปัจจุบันมักจะจ้างแรงงานที่อายุไม่เกิน 40 ปี และหากทำงานไปจนอายุ 55 ปี ในโรงงานอุตสาหกรรมจะมีสักกี่คนที่จะทำงานต่อถึงอายุ 60 ปี ได้ หากออกจาก ม.33 ที่มีนายจ้างมาสมัครผู้ประกันตนสมัครใจ ม.39 ก็มีผลกระทบกับเงินบำนาญชราภาพที่จะได้รับอีก คนส่วนใหญ่จึงเลือกที่จะรอจนครบอายุเท่านั้น อย่าให้ผู้ใช้แรงงานรอจนเสียชีวิตก่อนที่จะได้ใช้เงินตนเอง ระหว่าง อายุ 55-60 ปี เลย แม้ ประกันสังคมจะชี้แจ้งว่าถ้าขยายอายุ จาก 55 เป็น 60 ปี จะทำให้เงินบำนาญที่จะได้เพิ่มขึ้น 7.5% ของเงินเดือนต่อเดือน แต่ทราบไหมว่า หาก ผู้ประกันตน ม.33 รับ เงินชราภาพบำนาญที่อายุ 55 ปี เมื่อรับไป 5 ปี เกือบทุกคนก็จะได้เงินคืนเท่ากับที่ตนสะสมไว้ทั้งส่วนตนเองและนายจ้างแล้ว
หากต้องการขยายออกไป 60 ปีจริง ทางประกันสังคมต้องให้สิทธิประโยชน์มากกว่าปีละ 1.5 % ของเงินเงินต่อเดือน และหาทางหางานให้ผู้ประกันตนได้รับค่าจ้างไม่ต่ำกว่าเงินเดือนที่เคยได้รับตอนอายุ 55 ปี
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น