ประกันสังคมเรื่องใกล้ตัว: HR ไขข้อข้องใจให้นักศึกษาจบใหม่
ก้าวแรกสู่โลกการทำงานเต็มตัวของนักศึกษาจบใหม่เต็มไปด้วยสิ่งใหม่ๆ ที่ต้องเรียนรู้ หนึ่งในเรื่องสำคัญที่หลายคนอาจยังสับสนคือ "ประกันสังคม" ระบบสวัสดิการที่สำคัญของลูกจ้าง ในบทความนี้ เราจะพาไปติดตามบทสนทนาระหว่าง คุณสมใจ ฝ่ายบุคคลของบริษัทแห่งหนึ่ง กับ น้องใหม่ พนักงานที่เพิ่งเข้าทำงานวันแรก ที่จะช่วยคลายข้อสงสัยเรื่องประกันสังคม โดยเฉพาะประเด็นเรื่อง "การเริ่มมีสิทธิ์" ในสิทธิประโยชน์ต่างๆ
เริ่มต้นวันแรกกับเอกสารประกันสังคม
คุณสมใจ: "สวัสดีค่ะน้องใหม่ ยินดีต้อนรับสู่บริษัทของเรานะคะ วันนี้พี่จะขอแนะนำเรื่องเอกสารสำคัญนิดหน่อย หนึ่งในนั้นคือเรื่องประกันสังคมค่ะ"
น้องใหม่: "สวัสดีครับคุณสมใจ พอดีผมก็สงสัยอยู่เหมือนกันครับเรื่องประกันสังคม ตอนเรียนเคยได้ยินแต่ยังไม่ค่อยเข้าใจว่าพอมาทำงานแล้วมันเกี่ยวกับเรายังไงบ้าง"
คุณสมใจ: "ดีเลยค่ะ ประกันสังคมเนี่ยเป็นระบบที่สำคัญมากๆ สำหรับลูกจ้างอย่างเราค่ะ มันเหมือนการออมเงินส่วนหนึ่งของเรา บวกกับเงินที่บริษัทสมทบให้ และภาครัฐก็ช่วยอีกส่วนหนึ่ง เพื่อเป็นหลักประกันให้เราในยามที่เกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันต่างๆ ในชีวิตค่ะ"
น้องใหม่: "อ๋อ เป็นการออมเพื่อสวัสดิการเราเองนี่เอง"
คุณสมใจ: "ถูกต้องค่ะ พอเราเริ่มทำงานเป็นลูกจ้างในระบบ บริษัทก็มีหน้าที่ขึ้นทะเบียนเราเป็นผู้ประกันตนมาตรา 33 โดยอัตโนมัติค่ะ แล้วทุกเดือนก็จะมีการหักเงินสมทบส่วนของเราจากเงินเดือน เพื่อนำส่งเข้ากองทุนประกันสังคมค่ะ"
เงินสมทบ มาจากไหนบ้าง?
น้องใหม่: "แล้วที่บอกว่ามีบริษัทกับภาครัฐช่วยด้วยนี่ ยังไงครับ?"
คุณสมใจ: "ค่ะ การนำส่งเงินสมทบประกันสังคมรายเดือนเนี่ย จะมาจาก 3 ส่วนค่ะ คือ
* ส่วนของลูกจ้าง: จะถูกหักจากเงินเดือนของเรา คิดเป็น 5% ของค่าจ้าง (สูงสุดไม่เกิน 750 บาทต่อเดือน เพราะฐานค่าจ้างสูงสุดที่ใช้คำนวณคือ 15,000 บาท)
* ส่วนของนายจ้าง (บริษัท): นายจ้างจะสมทบในอัตราเดียวกัน คือ 5% ของค่าจ้างเราค่ะ
* ส่วนของภาครัฐ (รัฐบาล): ภาครัฐจะสมทบอีก 2.75% ของค่าจ้างค่ะ
รวมๆ แล้ว เงินจะเข้ากองทุนประมาณ 12.75% ของค่าจ้างเราทุกเดือนค่ะ แต่ส่วนที่เราต้องจ่ายจริงๆ คือ 5% ที่หักจากเงินเดือนค่ะ"
น้องใหม่: "เข้าใจแล้วครับ มี 3 ส่วนช่วยกันนี่เอง"
สิทธิประโยชน์ 7 กรณี มีอะไรบ้าง และเริ่มใช้ได้เมื่อไหร่?
คุณสมใจ: "ค่ะ เงินสมทบที่เราจ่ายไปและส่วนที่บริษัทกับรัฐบาลช่วยเนี่ย จะไปเป็นสวัสดิการให้เราใน 7 กรณีหลักๆ ค่ะ ได้แก่ เจ็บป่วย, คลอดบุตร, ทุพพลภาพ, เสียชีวิต, สงเคราะห์บุตร, ชราภาพ และว่างงาน"
น้องใหม่: "เยอะจังครับ แล้วแต่ละสิทธิ์นี่ พอผมเริ่มทำงานปุ๊บ ใช้ได้เลยไหมครับ หรือต้องรอนานแค่ไหน?"
คุณสมใจ: "คำถามนี้ดีมากเลยค่ะ เพราะเงื่อนไขการเริ่มมีสิทธิ์ของแต่ละกรณีจะไม่เหมือนกัน บางสิทธิ์ใช้ได้เร็วเลย บางสิทธิ์ต้องอาศัยระยะเวลาการส่งเงินสมทบสะสมค่ะ พี่ทำสรุปแบบเข้าใจง่ายๆ มาให้ดูค่ะ โดยจะนับเดือนแรกที่น้องเริ่มทำงานและมีการนำส่งเงินสมทบเป็น 'เดือนที่ 1' นะคะ"
ตาราง: สิทธิประกันสังคมและเดือนที่เร็วที่สุดที่จะมีสิทธิ์ (สำหรับ นศ. จบใหม่ เริ่มงานเดือน 1)
คุณสมใจ: "จากตารางนี้นะคะ อธิบายแบบเจาะจงสำหรับน้องใหม่ที่เพิ่งเริ่มส่งเงินสมทบเดือนแรกแบบนี้ค่ะ
* รักษาพยาบาล (รวมทำฟันด้วย): สิทธิ์นี้จะเกิดขึ้นเร็วมากค่ะ ปกติแล้วเมื่อนายจ้างขึ้นทะเบียนน้องเข้าประกันสังคม และข้อมูลเข้าระบบเรียบร้อยแล้ว ซึ่งมักจะใช้เวลาไม่นานในเดือนแรกๆ ที่เริ่มงาน น้องก็สามารถไปใช้สิทธิ์รักษาพยาบาลที่โรงพยาบาลตามสิทธิ์ที่เราแจ้งไว้ หรือใช้สิทธิ์ทำฟันที่คลินิก/โรงพยาบาลในเครือประกันสังคมได้เลยค่ะ ไม่ต้องรอครบ 3 เดือนสำหรับสิทธิ์นี้นะคะ
* เสียชีวิต: หากเกิดเหตุการณ์เสียชีวิตขึ้น ต้องมีการส่งเงินสมทบมาแล้วอย่างน้อย 1 เดือน ภายใน 6 เดือนสุดท้ายก่อนเดือนที่เสียชีวิตค่ะ ดังนั้น ถ้าเริ่มส่งเดือนแรก แล้วเสียชีวิตในเดือนที่ 2 ก็จะมีสิทธิ์ค่ะ
* เงินทดแทนเจ็บป่วย / ทุพพลภาพ: สิทธิ์รับเงินทดแทน (กรณีที่แพทย์สั่งให้หยุดงาน) หรือสิทธิ์กรณีทุพพลภาพ จะต้องส่งเงินสมทบมาแล้วอย่างน้อย 3 เดือน ภายใน 15 เดือนสุดท้ายก่อนเดือนที่ป่วยหนักจนหยุดงาน หรือทุพพลภาพค่ะ ถ้าเริ่มส่งเดือน 1, 2, 3 แล้วมาป่วย/ทุพพลภาพในเดือนที่ 4 ก็จะเริ่มเข้าเงื่อนไขค่ะ
* คลอดบุตร: สิทธิ์ค่าคลอดบุตร และเงินสงเคราะห์การหยุดงานเพื่อคลอดบุตร ต้องมีการส่งเงินสมทบมาแล้วอย่างน้อย 5 เดือน ภายใน 15 เดือนสุดท้าย ก่อนเดือนที่คลอดค่ะ ดังนั้น ถ้าเริ่มส่งเดือน 1-5 แล้วคลอดในเดือนที่ 6 ก็จะเข้าเงื่อนไขค่ะ
* ว่างงาน: สิทธิ์รับเงินทดแทนกรณีว่างงาน (จากการลาออกหรือถูกเลิกจ้าง) จะต้องส่งเงินสมทบมาแล้วอย่างน้อย 6 เดือน ภายใน 15 เดือนสุดท้าย ก่อนเดือนที่ว่างงานค่ะ ถ้าเริ่มส่งเดือน 1-6 แล้วว่างงานในเดือนที่ 7 และไปขึ้นทะเบียนว่างงานตามกำหนด ก็จะเริ่มมีสิทธิ์ค่ะ
* สงเคราะห์บุตร: สิทธิ์ได้รับเงินช่วยเหลือรายเดือนสำหรับบุตร (ได้จนบุตรอายุ 6 ปี) ต้องส่งเงินสมทบมาแล้วอย่างน้อย 12 เดือน ภายใน 36 เดือนสุดท้าย ก่อนเดือนที่บุตรเกิดค่ะ ถ้าเริ่มส่งเดือน 1-12 แล้วบุตรเกิดในเดือนที่ 13 ก็จะเริ่มเข้าเงื่อนไขค่ะ
* บำเหน็จชราภาพ / บำนาญชราภาพ: สิทธิ์นี้เป็นสิทธิ์ระยะยาวค่ะ ไม่ได้นับเป็นเดือนที่เร็วที่สุดแบบสิทธิ์อื่นๆ แต่จะเกิดขึ้นเมื่อเรามีอายุครบ 55 ปีบริบูรณ์ และสิ้นสุดความเป็นผู้ประกันตนแล้ว หรือเกิดทุพพลภาพ/เสียชีวิต ก่อนอายุ 55 ปี โดยจำนวนเงินสมทบที่เราส่งมาทั้งหมด จะเป็นตัวกำหนดว่าจะได้เป็นบำเหน็จ (เงินก้อน ถ้าส่งน้อยกว่า 180 เดือน) หรือบำนาญ (รายเดือน ถ้าส่งครบ 180 เดือนขึ้นไป) ค่ะ"
น้องใหม่: "อ๋อ อย่างนี้นี่เองครับ สิทธิ์รักษาพยาบาลนี่ใช้ได้เร็วเลย ส่วนสิทธิ์อื่นก็ต้องรอเก็บเดือนตามที่ระบุในตารางใช่ไหมครับ"
คุณสมใจ: "ใช่ค่ะ หลักๆ ก็ตามนั้นเลย สำคัญคือเราต้องเป็นผู้ประกันตนและมีการนำส่งเงินสมทบอย่างต่อเนื่องตามระยะเวลาที่แต่ละสิทธิ์กำหนด ก่อนที่เหตุการณ์นั้นๆ จะเกิดขึ้น ค่ะ"
การใช้สิทธิ์และตรวจสอบข้อมูล
น้องใหม่: "แล้วถ้าจะใช้สิทธิ์ ต้องทำยังไงบ้างครับ หรืออยากรู้ว่าตอนนี้ผมส่งไปกี่เดือนแล้ว ต้องเช็คที่ไหนครับ?"
คุณสมใจ: "ดีเลยค่ะ ถ้าจะใช้สิทธิ์รักษาพยาบาล ก็ไปที่โรงพยาบาลที่เราเลือกไว้ตามสิทธิ์ หรือถ้าทำฟันก็ไปที่คลินิก/โรงพยาบาลในเครือประกันสังคม แจ้งใช้สิทธิ์ประกันสังคม ยื่นบัตรประชาชนได้เลยค่ะ ส่วนสิทธิ์อื่นๆ เช่น เงินทดแทนต่างๆ กรณีคลอดบุตร หรือว่างงาน จะมีขั้นตอนการยื่นเอกสารเพื่อขอรับสิทธิ์ที่สำนักงานประกันสังคมในพื้นที่ หรือผ่านช่องทางออนไลน์ค่ะ
สำหรับการตรวจสอบข้อมูลการส่งเงินสมทบ หรือดูสิทธิประโยชน์ต่างๆ ของตัวเอง ตอนนี้สะดวกมากๆ เลยค่ะ น้องสามารถดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน SSO plus มาลงทะเบียน แล้วล็อกอินเข้าไปดูข้อมูลตัวเองได้เลยค่ะ หรือจะเช็คผ่านเว็บไซต์ของสำนักงานประกันสังคมก็ได้ค่ะ www.sso.go.th"
น้องใหม่: "มีแอปด้วย สะดวกจังเลยครับ จะได้ตามเช็คข้อมูลตัวเองได้"
คุณสมใจ: "ใช่ค่ะ สำคัญคือการติดตามข้อมูลตัวเองนี่แหละค่ะ จะได้รู้ว่าเรามีสิทธิ์อะไรบ้าง และเงื่อนไขเป็นยังไง
ถ้าเปลี่ยนงาน หรือออกจากงาน ต้องทำยังไงกับประกันสังคม?
น้องใหม่: "แล้วถ้าในอนาคต ผมเปลี่ยนงาน หรือออกจากงานไปพักนึง ประกันสังคมจะยังไงต่อครับ?"
คุณสมใจ: "อันนี้ก็เป็นคำถามที่พบบ่อยค่ะ ถ้าเปลี่ยนงาน บริษัทใหม่ก็จะขึ้นทะเบียนน้องเป็นผู้ประกันตนต่อจากที่เดิมให้เองโดยอัตโนมัติ เดือนการส่งเงินสมทบก็จะนับต่อเนื่องไปเรื่อยๆ ค่ะ
แต่ถ้าออกจากงาน แล้วยังไม่ได้งานใหม่ น้องมีทางเลือกนะคะ
* ถ้าอยากรักษาสิทธิ์ประกันสังคมไว้: สามารถสมัครเป็นผู้ประกันตนโดยสมัครใจ มาตรา 39 ได้ค่ะ (มีเงื่อนไขและอัตราส่งเงินสมทบที่กำหนด) ซึ่งจะยังได้รับความคุ้มครองบางกรณีต่อจากมาตรา 33
* ถ้าต้องการใช้สิทธิ์กรณีว่างงาน: ต้องไปขึ้นทะเบียนผู้ว่างงานที่สำนักงานจัดหางานของรัฐ ภายใน 30 วันนับตั้งแต่ออกจากงาน เพื่อขอรับเงินทดแทนกรณีว่างงานค่ะ (ตามเงื่อนไขที่ได้อธิบายไปก่อนหน้านี้ว่าต้องส่งครบ 6 เดือนใน 15 เดือนก่อนว่างงาน)
* ถ้าไม่ได้ทำอะไรเลย: สถานะผู้ประกันตนมาตรา 33 จะสิ้นสุดลง สิทธิ์ต่างๆ ก็จะสิ้นสุดลงตามกฎค่ะ แต่ระยะเวลาการส่งเงินสมทบที่เราเคยส่งไว้ จะยังคงอยู่ในระบบเพื่อใช้คำนวณสิทธิ์ในอนาคต เช่น สิทธิ์บำเหน็จ/บำนาญชราภาพค่ะ"
น้องใหม่: "อ๋อ มีทางเลือกให้ด้วยนี่เองครับ ค่อยยังชั่วหน่อย"
สรุป
คุณสมใจ: "สรุปนะคะน้องใหม่ ประกันสังคมเป็นสวัสดิการพื้นฐานที่สำคัญค่ะ พอเริ่มทำงานก็จะเป็นผู้ประกันตนมาตรา 33 โดยอัตโนมัติ มีการหักเงินเดือนส่วนหนึ่งไปสมทบพร้อมกับที่บริษัทและรัฐบาลช่วย ซึ่งเงินนี้จะเป็นหลักประกันให้เราใน 7 กรณีต่างๆ และแต่ละสิทธิ์ก็มีเงื่อนไขระยะเวลาการส่งเงินสมทบขั้นต่ำที่แตกต่างกันไปก่อนที่เราจะมีสิทธิ์ได้รับประโยชน์ค่ะ สิทธิ์รักษาพยาบาลจะใช้ได้เร็ว ส่วนสิทธิ์อื่นๆ ก็ต้องสะสมเดือนตามที่กำหนดค่ะ
แนะนำให้ดาวน์โหลดแอป SSO plus ติดมือถือไว้เลยนะคะ จะได้ตรวจสอบข้อมูลของตัวเองได้ตลอดค่ะ"
น้องใหม่: "เข้าใจชัดเจนเลยครับ ขอบคุณคุณสมใจมากๆ เลยครับ ได้ความรู้เรื่องประกันสังคมไปเยอะเลย วันนี้สบายใจขึ้นเยอะครับ"
คุณสมใจ: "ยินดีเสมอค่ะน้องใหม่ ถ้ามีข้อสงสัยอะไรเพิ่มเติม ถามพี่ได้ตลอดเลยนะคะ"
ฟังพอดแคสแบบสรุปๆ ใน 11 นาที
บทสรุปสำหรับผู้อ่าน
บทสนทนานี้แสดงให้เห็นภาพรวมของประกันสังคมสำหรับนักศึกษาจบใหม่ได้อย่างชัดเจน การทำความเข้าใจสิทธิประโยชน์และเงื่อนไขการเกิดสิทธิ์ต่างๆ ตั้งแต่เนิ่นๆ จะช่วยให้เราสามารถวางแผนและใช้ประโยชน์จากระบบประกันสังคมได้อย่างเต็มที่ อย่าลืมตรวจสอบข้อมูลของตัวเองอยู่เสมอ และเมื่อมีข้อสงสัย ควรติดต่อสอบถามกับฝ่ายบุคคลของบริษัท หรือสำนักงานประกันสังคมโดยตรง เพื่อให้ได้รับข้อมูลที่ถูกต้องและเป็นปัจจุบันที่สุดครับ
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น