ลุงบูรณ์ Gen X เมาท์ประกันสังคม: Gen Z ฟังไว้ ไม่ตกเทรนด์(เอาตัวรอด)!

เอาล่ะเด็ก ๆ Gen Z ที่รักทั้งหลาย วันนี้ "ลุงบูรณ์ Gen X" คนนี้จะมาเมาท์มอยเรื่องที่พวกเธออาจจะทำหน้างง หรือคิดในใจว่า "ลุง! เรื่องนี้มันโบราณกว่าเพลงของ Oasis ที่ลุงเปิดฟังอีกนะ!" นั่นก็คือเรื่อง "ประกันสังคม" ของประเทศไทยเรานี่แหละ! ใช่แล้ว...ไอ้ที่หักเงินเดือนพวกเธอไปทุกเดือนนั่นแหละ ฟังดูน่าเบื่อใช่ไหมล่ะ? แต่เชื่อลุง! เรื่องนี้มันเกี่ยวกับปากท้องและความอยู่รอดของพวกเราทุกคน โดยเฉพาะในยุคที่อะไรๆ ก็ VDO... เอ๊ย! VUCA World (Volatility, Uncertainty, Complexity, Ambiguity) แบบนี้ การมี "เซฟตี้เน็ต" ไว้บ้างมันอุ่นใจกว่าเยอะนะ

ลุงบูรณ์คนนี้ก็ผ่านโลกมาพอสมควร ตั้งแต่ยุคที่อินเทอร์เน็ตยังต้องต่อผ่านสายโทรศัพท์เสียงอี๊ดอ๊าด (พวกเธอคงนึกภาพไม่ออกสินะ) จนมาถึงยุคที่พวกเธอดูสตอรี่ไอจีกันเป็นกิจวัตร ลุงเห็นมาเยอะแล้วว่า "ความไม่แน่นอนคือสิ่งที่แน่นอนที่สุด" (ยกเว้นเรื่องหวยที่ไม่เคยจะถูกกับเขาสักที)

วันนี้ลุงเลยอยากจะมา "แกะกล่อง" ประกันสังคมฉบับไทยแลนด์ให้พวกเธอฟังแบบเข้าใจง่าย ไม่ต้องปีนกระไดไปอ่านพระราชบัญญัติให้ปวดหัว ลุงจะเล่าตั้งแต่สมัยพระเจ้าเหา (เกือบๆ) ว่ามันเริ่มมายังไง มีอะไรให้เราบ้าง แล้วที่สำคัญ... ลุงบูรณ์คนนี้จะลอง "พยากรณ์" แบบขำๆ ปนหยิกแกมหยอกว่าไอ้เจ้าประกันสังคมเนี่ย มันจะอยู่ยงคงกระพันไปได้อีกนานแค่ไหนในยุคที่ AI เก่งกว่าหมอดูไปแล้ว เตรียมชาไข่มุก กาแฟส้ม หรืออะไรก็ตามที่พวกเธอชอบดื่ม แล้วมาฟังลุงบูรณ์เมาท์ยาวๆ กันได้เลย รับรองว่ามีสาระ (บ้าง) และมีความฮา (พยายาม) แน่นอน!

บทที่ 1: ยุคดึกดำบรรพ์ (สำหรับ Gen Z) – ชีวิตก่อนมี "ประกันสังคม" มันเป็นยังไงนะลุงบูรณ์?

ก่อนที่เราจะไปตะลุยไทม์ไลน์ของประกันสังคม ลุงบูรณ์อยากให้พวกเธอลองหลับตา (แต่อย่าเพิ่งหลับจริงนะเฟ้ย!) แล้วจินตนาการย้อนกลับไปสัก 30-40 ปีก่อน ยุคที่ยังไม่มีคำว่า "ประกันสังคม" ติดหูคนไทยเท่าวันนี้...

สมัยนั้นน่ะนะ ถ้าคนทำงานกินเงินเดือนธรรมดาๆ อย่างเราๆ ท่านๆ เกิดเจ็บไข้ได้ป่วยขึ้นมา มันไม่ใช่เรื่องเล่นๆ เลยนะ ถ้าไม่ได้ทำงานในบริษัทฝรั่งหรือองค์กรใหญ่ๆ ที่เขามีสวัสดิการดีเลิศประเสริฐศรีแบบในหนังฝรั่ง ก็ต้องควักเงินเก็บก้อนสุดท้าย (ถ้ามี) หรือไม่ก็ต้องบากหน้าไปหยิบยืมญาติสนิทมิตรสหาย ใครมีที่ทางก็อาจจะต้องเอาไปจำนองจำนำ โรงพยาบาลรัฐก็มีแหละ แต่คิวก็ยาวเหยียดเหมือนเดิม เพิ่มเติมคือยาอาจจะไม่ทันสมัยเท่าทุกวันนี้

เกิดอุบัติเหตุจากการทำงาน? โอ้โห...อันนั้นก็แล้วแต่บุญกรรมที่ทำมา หรือแล้วแต่นายจ้างจะเมตตา บางคนใจดีก็ช่วยเต็มที่ บางคนก็อาจจะช่วยตามอัตภาพ หรือถ้าซวยสุดๆ ก็คือไม่ช่วยเลย เจ็บตัวฟรีแถมตกงานอีกต่างหาก

มีลูกมีเต้า? เรื่องน่ายินดี แต่ค่าใช้จ่ายก็ตามมาเป็นพรวน ค่าคลอด ค่าเลี้ยงดู จิปาถะ ถ้าไม่มีเงินเก็บสำรองไว้ก็เหนื่อยสายตัวแทบขาดเหมือนกันนะ สมัยนั้นคุณแม่ๆ หลายคนคลอดลูกแล้วก็ต้องรีบกลับไปทำงาน ไม่มีหรอกลาคลอดได้นานๆ พร้อมเงินช่วยเหลือแบบทุกวันนี้

แล้วลองคิดดูตอนแก่สิ... พอเรี่ยวแรงเริ่มถดถอย ทำงานหนักไม่ไหวเหมือนเดิม จะเอาเงินที่ไหนมาใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน? ส่วนใหญ่ก็ต้องหวังพึ่งลูกหลาน ซึ่งก็เข้าใจได้ว่าลูกหลานก็มีภาระของตัวเอง ยุคสมัยมันเปลี่ยนไปแล้ว จะให้ลูกมานั่งเลี้ยงดูพ่อแม่เหมือนสมัยก่อนเป๊ะๆ มันก็อาจจะไม่ใช่สำหรับทุกครอบครัว

ตกงานกะทันหัน? อันนี้เรื่องใหญ่เลยนะ ในยุคที่ยังไม่มีเงินชดเชยการว่างงาน ถ้าโดนเลิกจ้างปุ๊บปั๊บก็เหมือนเรือแตกกลางทะเล เคว้งคว้างหาทางไปต่อไม่ถูก ต้องรีบหางานใหม่ให้ได้เร็วที่สุด ไม่มีเงินสำรองก็คืออดตายกันพอดี

เห็นไหมล่ะว่าชีวิตของคนทำงานในอดีตมันมีความเปราะบางสูงมาก ขาด "หลักประกัน" ที่จะมาช่วยพยุงเวลาเกิดเรื่องไม่คาดฝัน สังคมโดยรวมมันก็ต้องการระบบอะไรสักอย่างที่จะมาช่วย "เฉลี่ยทุกข์ เฉลี่ยสุข" แบ่งเบาภาระของคนในสังคม ไม่ใช่ปล่อยให้ใครล้มแล้วต้องล้มเลย นี่จึงเป็นที่มาและเหตุผลสำคัญว่าทำไมประเทศไทยถึงต้องมี "ระบบประกันสังคม" ขึ้นมายังไงล่ะ มันไม่ใช่เรื่องของใครคนใดคนหนึ่ง แต่เป็นเรื่องของ "พวกเรา" ทุกคนในสังคมจริงๆ

บทที่ 2: กำเนิด "ประกันสังคมไทยแลนด์" – The Mixtape of Benefits (ที่ค่อยๆ ปล่อยทีละ Track)

เอาล่ะ เข้าเรื่องประวัติศาสตร์กันหน่อย (อย่าเพิ่งทำหน้าเบื่อ ลุงบูรณ์จะย่อยให้ง่ายที่สุด!) จุดเริ่มต้นอย่างเป็นทางการของระบบประกันสังคมในบ้านเราก็คือการประกาศใช้ "พระราชบัญญัติประกันสังคม พ.ศ. 2533" หรือถ้าเทียบเป็นปีฝรั่งก็คือ ค.ศ. 1990 นั่นเอง ปีนั้นพวกเธอบางคนอาจจะยังเป็นแค่โปรเจกต์ในใจคุณพ่อคุณแม่ หรือบางคนก็ยังท่อง ABC อยู่เลย ส่วนลุงบูรณ์น่ะเหรอ... น่าจะกำลังอินกับเพลง "นินจา" ของคริสติน่า อากีล่าร์ หรือไม่ก็เช่าวิดีโอเทปหนังฮ่องกงมาดูจนตาแฉะ (กิจกรรมสุดฮิตของ Gen X เขาล่ะ)

การมีกฎหมายออกมา ไม่ได้หมายความว่าสิทธิประโยชน์ทั้ง 7 อย่างที่พวกเรารู้จักกันทุกวันนี้มันจะ "ผ่าง!" เกิดขึ้นมาพร้อมกันเหมือนเนรมิตนะ มันค่อยๆ ทยอยเปิดตัวทีละเฟส เหมือนค่ายเพลงค่อยๆ ปล่อยซิงเกิ้ลโปรโมทอัลบั้มยังไงยังงั้นแหละ

Track 1: The "Starter Pack" - ชุดสิทธิประโยชน์สี่สหาย (เริ่ม มีนาคม พ.ศ. 2534 / March 1991)

หลังจากกฎหมายคลอด สำนักงานประกันสังคม (สปส.) ก็เริ่มเดินเครื่องจริงๆ จังๆ และเริ่มเก็บเงินสมทบจากนายจ้างและลูกจ้างครั้งแรกในเดือน มีนาคม พ.ศ. 2534 (March 1991) โดย "แพ็กเกจเริ่มต้น" ที่ปล่อยออกมามี 4 สิทธิประโยชน์หลักๆ ที่ถือเป็นพื้นฐานสำคัญ ได้แก่:

 * กรณีเจ็บป่วยหรือประสบอันตราย (Illness/Injury): อันนี้คือคลาสสิกเลย ถ้าเราป่วย ไม่สบาย (ที่ไม่เกี่ยวกับการทำงานโดยตรงนะ อันนั้นจะเป็นกองทุนเงินทดแทนอีกเรื่อง) ก็สามารถไปใช้สิทธิ์รักษาพยาบาลได้ สมัยนั้นการเลือกโรงพยาบาลอาจจะยังไม่ค่อยมีตัวเลือกมากนัก และการรอคิวก็เป็นเรื่องปกติ แต่ก็ถือว่าเป็นการปฏิวัติวงการสวัสดิการเลยนะ จากที่เคยต้องจ่ายเองเต็มๆ ก็มีคนมาช่วยแชร์แล้ว

 * กรณีคลอดบุตร (Maternity): คุณแม่ๆ ทั้งหลายได้เฮ เพราะประกันสังคมช่วยสนับสนุนค่าใช้จ่ายในการคลอดบุตร และยังมีเงินสงเคราะห์การหยุดงานเพื่อเลี้ยงดูบุตรด้วย ทำให้คุณแม่ได้มีเวลาพักฟื้นและดูแลเจ้าตัวเล็กได้เต็มที่มากขึ้น ไม่ต้องรีบกลับไปทำงานเหมือนเมื่อก่อน

 * กรณีทุพพลภาพ (Invalidity): หากโชคร้ายเกิดอุบัติเหตุหรือเจ็บป่วยจนร่างกายไม่สมประกอบเหมือนเดิม ทำงานหาเลี้ยงชีพไม่ได้ ประกันสังคมก็จะมีเงินทดแทนการขาดรายได้ให้ รวมถึงค่าใช้จ่ายในการฟื้นฟูสมรรถภาพด้วย ช่วยให้ผู้ทุพพลภาพไม่เคว้งคว้างและเป็นภาระหนักอึ้งของครอบครัว

 * กรณีตาย (Death): แม้จะเป็นเรื่องเศร้า แต่ก็เป็นสัจธรรมของชีวิต ถ้าผู้ประกันตนเสียชีวิต ทายาทตามกฎหมายก็จะได้รับเงินค่าทำศพ และเงินสงเคราะห์กรณีตาย เพื่อช่วยแบ่งเบาภาระค่าใช้จ่ายในการจัดงานศพและเป็นเงินก้อนเล็กๆ น้อยๆ ให้ครอบครัวได้ตั้งตัว

การขยายฐานผู้เล่น: จากยักษ์ใหญ่ สู่ SME และร้านค้าหน้าปากซอย

ตอนที่เริ่มเก็บเงินสมทบในเดือนมีนาคม 2534 นั้น ไม่ใช่ว่าทุกบริษัทในประเทศไทยจะต้องเข้าระบบทันทีนะจ๊ะ เขาเริ่มจาก "ปลาใหญ่" ก่อน คือ สถานประกอบการที่มีลูกจ้างตั้งแต่ 20 คนขึ้นไป เหมือนเป็นการค่อยๆ ทดลองระบบ ปรับจูนให้เข้าที่ก่อนจะขยายวงกว้าง ลุงบูรณ์จำได้ว่าตอนนั้นบริษัทที่ลุงทำงานอยู่ก็เข้าเกณฑ์พอดี เลยได้เป็น "หนูทดลอง" รุ่นแรกๆ ของระบบประกันสังคมไปโดยปริยาย (ฮา)

จากนั้นก็มีการ "อัปเลเวล" ขยายความคุ้มครองไปเรื่อยๆ เหมือนอัปเดตแผนที่ในเกมให้มีพื้นที่ใหม่ๆ ให้สำรวจ:

 * กันยายน พ.ศ. 2536 (September 1993): ขยายให้ครอบคลุมสถานประกอบการที่มีลูกจ้างตั้งแต่ 10 คนขึ้นไป บริษัทขนาดกลางถึงขนาดเล็กก็เริ่มทยอยเข้ามาอยู่ในร่มเงาของประกันสังคมมากขึ้น

 * 1 เมษายน พ.ศ. 2545 (April 1, 2002): นี่คือหมุดหมายสำคัญเลย! เพราะกฎหมายได้ขยายให้ครอบคลุมสถานประกอบการที่มีลูกจ้างตั้งแต่ 1 คนขึ้นไป! ใช่แล้ว! อ่านไม่ผิดหรอก แค่มีลูกจ้างคนเดียว (ที่ไม่ใช่เจ้าของกิจการนะ) ก็ต้องขึ้นทะเบียนประกันสังคมแล้ว ทำให้ลูกจ้างในธุรกิจเล็กๆ ร้านค้าต่างๆ หรือแม้แต่สตาร์ทอัปจิ๋วๆ ที่พวกเธอ Gen Z อาจจะไปทำงานอยู่ ก็ได้รับความคุ้มครองไปด้วย วันนั้นที่ข่าวออก ลุงบูรณ์จำได้ว่าพวกเจ้าของกิจการเล็กๆ บางคนก็มีบ่นๆ กันบ้างแหละว่าเพิ่มภาระ แต่ในระยะยาวมันคือการสร้างความเป็นธรรมและหลักประกันให้กับคนทำงานทุกคนในระบบนั่นเอง

Track 2 & 3: "Expansion Packs" ที่รอคอย – เพิ่มความอุ่นใจให้อนาคตและครอบครัว

หลังจาก 4 สิทธิประโยชน์แรกเริ่มลงตัวแล้ว ระบบประกันสังคมก็ไม่ได้หยุดนิ่ง มีการ "ปล่อย DLC" หรือสิทธิประโยชน์เพิ่มเติมออกมาอีก เพื่อให้ครอบคลุมชีวิตคนทำงานได้รอบด้านมากขึ้น

 * เริ่มเก็บเงินสมทบ 31 ธันวาคม พ.ศ. 2541 (December 31, 1998):

   *      * กรณีสงเคราะห์บุตร (Child Allowance): สำหรับคุณพ่อคุณแม่ผู้ประกันตนที่มีลูกน้อย (อายุไม่เกินเกณฑ์ที่กำหนด) ก็จะได้รับเงินช่วยเหลือเป็นรายเดือนต่อบุตรหนึ่งคน แม้จำนวนเงินอาจจะไม่ได้มากมายมหาศาลพอจะส่งลูกเรียนอินเตอร์ (ฝันไปก่อนนะ ฮา!) แต่มันก็ช่วยแบ่งเบาค่าใช้จ่ายจิปาถะ ค่านม ค่าผ้าอ้อม ค่าขนมไปได้บ้าง เหมือนเป็นน้ำทิพย์ชโลมใจเล็กๆ น้อยๆ ให้คนมีลูกนั่นแหละ สมัยลุงบูรณ์ลูกยังเล็กๆ ได้เงินส่วนนี้มาก็ดีใจแล้วนะ เอาไปซื้อของเล่นให้ลูกได้ตั้งหลายชิ้น (ของเล่นสมัยนั้นมันถูกกว่าสมัยนี้เยอะ!)

   *      * กรณีชราภาพ (Old Age Pension): นี่คือ "บิ๊กบอส" ของสิทธิประโยชน์ที่ทุกคน (โดยเฉพาะ Gen X อย่างลุง และเดี๋ยวพวก Gen Y, Gen Z ก็จะเริ่มคิดถึงมันมากขึ้น) ให้ความสนใจและตั้งคำถามมากที่สุด! มันคือเงินที่เราออมไว้กับประกันสังคมทุกเดือน เพื่อที่จะได้รับคืนในรูปแบบของ "เงินบำเหน็จ" (รับเป็นก้อนเดียวตอนเกษียณ) หรือ "เงินบำนาญ" (รับเป็นรายเดือนไปจนกว่าจะสิ้นอายุขัย) ตอนที่เราแก่ตัวลง ทำงานไม่ไหวแล้ว จะได้มีเงินใช้จ่ายในชีวิตบั้นปลาย ไม่ต้องเป็นภาระใคร (หรือเป็นภาระน้อยลงก็ยังดี) ไอ้เรื่องเงินชราภาพนี่แหละที่เป็นประเด็นถกเถียงกันมากที่สุดว่า "กองทุนจะไหวมั้ย?" "เงินจะพอใช้เหรอ?" "รุ่นเราจะได้เห็นเงินก้อนนี้รึเปล่า?" เดี๋ยวลุงบูรณ์จะมา "ทำนายทายทัก" ในบทท้ายๆ นะ อดใจรอกันหน่อย

 * เริ่มเก็บเงินสมทบ 1 กรกฎาคม พ.ศ. 2547 (July 1, 2004):

   *      * กรณีว่างงาน (Unemployment): ในโลกยุคใหม่ที่การเปลี่ยนแปลงมันรวดเร็วจนตั้งตัวแทบไม่ทัน การ "ว่างงาน" ไม่ว่าจะเป็นจากการถูกเลิกจ้าง (layoff) หรือการลาออกเองเพื่อไป "ค้นหาตัวเอง" (สไตล์ Gen Z เลยใช่ไหมล่ะ) มันเกิดขึ้นได้กับทุกคน ประกันสังคมจึงได้เพิ่มสิทธิประโยชน์กรณีว่างงานเข้ามา เพื่อเป็น "เบาะรองรับ" ให้เราไม่เจ็บตัวมากนักในช่วงที่กำลังหางานใหม่ โดยผู้ประกันตนที่จ่ายเงินสมทบครบตามเงื่อนไข ก็จะได้รับเงินทดแทนการขาดรายได้เป็นระยะเวลาหนึ่ง (จำนวนเงินและระยะเวลาจะต่างกันไปตามสาเหตุการว่างงาน) อย่างน้อยก็มีเงินซื้อข้าวกิน มีเงินจ่ายค่าเดินทางไปสัมภาษณ์งาน ไม่ต้องนั่งกุมขมับอยู่บ้านเฉยๆ สิทธินี้น่าจะโคตรมีประโยชน์กับพวกเธอเลยนะ Gen Z เพราะเห็นเปลี่ยนงานกันเก่งเหลือเกิน (ลุงบูรณ์ไม่ได้ว่านะ แค่แซวเฉยๆ ฮ่าๆ)

ครบแล้ว! 7 สิทธิประโยชน์หลักที่เปรียบเสมือน "ทีมอเวนเจอร์" คอยพิทักษ์เหล่าผู้ประกันตนในประเทศไทย ตั้งแต่เจ็บป่วย คลอดลูก พิการ ตาย มีลูก แก่ตัว ไปจนถึงตกงาน มันครอบคลุมแทบจะทุกช่วงชีวิตสำคัญๆ ของคนทำงานเลยทีเดียว

บทที่ 3: "กระปุกออมสินแห่งชาติ" – เงินมันมาจากไหน? แล้วไปไหนต่อ? (ฉบับลุงบูรณ์ไขข้อข้องใจ)

พอรู้แล้วว่าเราได้สิทธิอะไรบ้าง คำถามคลาสสิกที่มักจะตามมา (โดยเฉพาะจากคนที่เพิ่งเริ่มทำงานใหม่ๆ แล้วเห็นตัวเลขในสลิปเงินเดือนมันหายไป) ก็คือ "ลุงบูรณ์! แล้วไอ้เงินที่หักหนูไปทุกเดือนเนี่ย มันไปไหน? แล้วทำไมต้องหักเยอะจัง?" (เสียงโอดครวญลอยมาแต่ไกล)

ใจเย็นๆ นะหลานๆ ลุงจะอธิบายให้ฟังแบบง่ายที่สุด ประกันสังคมเนี่ย มันทำงานคล้ายๆ กับ "กระปุกออมสินยักษ์" หรือจะเรียกว่า "กองทุนรวมหมู่เพื่อความมั่นคงแห่งชาติ" ก็พอได้อยู่ หลักการของมันคือ "การเฉลี่ยทุกข์ เฉลี่ยสุข" ทุกคนที่มีส่วนได้ส่วนเสียต้องช่วยกัน "หยอดกระปุก" เพื่อให้มีเงินก้อนใหญ่พอที่จะเอาไปช่วยเหลือสมาชิกในยามจำเป็น

แล้วใครบ้างล่ะที่ต้องช่วยกันหยอดกระปุกใบนี้? คำตอบคือมี 3 ฝ่ายหลักๆ หรือที่ลุงชอบเรียกว่า "สามทหารเสือแห่งการสมทบทุน" (ฟังดูยิ่งใหญ่ไปไหม?)

 * ลูกจ้าง (ก็คือพวกเรานี่แหละ ผู้ประกันตนตัวจริงเสียงจริง): ทุกๆ เดือน เมื่อเงินเดือนออก เราจะถูก "เจียด" เงินส่วนหนึ่งออกมาเพื่อนำส่งเข้ากองทุนประกันสังคม สำหรับผู้ประกันตนตาม "มาตรา 33" (คือลูกจ้างที่ทำงานในสถานประกอบการทั่วไป) ปัจจุบัน (ข้อมูล ณ ปี 2568 ที่ลุงบูรณ์กำลังเมาท์อยู่นี่นะ) จะถูกหักในอัตรา 5% ของฐานค่าจ้าง แต่เขาก็มีเพดานสูงสุดอยู่ คือคิดจากฐานเงินเดือนสูงสุดไม่เกิน 15,000 บาท นั่นหมายความว่าต่อให้เงินเดือนพวกเธอทะลุหลักแสน (เก่งมากถ้าทำได้!) ก็จะโดนหักเข้าประกันสังคมสูงสุดแค่ 750 บาทต่อเดือน (15,000 x 5%) นั่นเอง ส่วนใครเงินเดือนน้อยกว่า 15,000 ก็คิดตามฐานจริงไป

 * นายจ้าง (เจ้าของบริษัท หรือเจ้านายที่รัก...น้อยๆ ของเรา): ไม่ใช่แค่เราที่ต้องจ่ายนะ นายจ้างผู้ใจดี (หรือจำเป็นต้องใจดีตามกฎหมาย) ก็ต้องควักกระเป๋าจ่ายเงินสมทบเข้ากองทุนนี้ให้เราด้วย ในอัตราที่ เท่ากับที่เราจ่าย เลย! ใช่แล้ว ฟังไม่ผิด ถ้าเราจ่าย 750 บาท นายจ้างก็ต้องจ่ายอีก 750 บาทให้เราเหมือนกัน รวมเป็น 1,500 บาทต่อเดือนแล้วนะ (ยังไม่รวมส่วนของรัฐบาล) อันนี้ถือเป็นความรับผิดชอบของนายจ้างตามกฎหมาย ที่ต้องช่วยดูแลสวัสดิการพื้นฐานของลูกจ้าง

 * รัฐบาล (พี่ใหญ่ใจดี... ที่บางทีก็เหมือนจะลืมเรา): เพื่อให้กองทุนมันมีความมั่นคงและยั่งยืนยิ่งขึ้น รัฐบาลก็จะช่วย "เติมเงิน" เข้ามาในกระปุกนี้อีกส่วนหนึ่งด้วย แต่อัตราที่รัฐบาลสมทบจะน้อยกว่าที่เรากับนายจ้างจ่ายนะ (ปัจจุบันอยู่ที่ประมาณ 2.75% ของฐานค่าจ้าง โดยมีเพดานเหมือนกัน) ก็ยังดีกว่าไม่ช่วยเลยเนอะ

เงินที่เก็บได้จากทั้งสามส่วนนี้แหละ ที่จะไหลรวมกันเข้าไปอยู่ใน "กองทุนประกันสังคม" ก้อนมหึมา ซึ่งบริหารจัดการโดย "สำนักงานประกันสังคม" หรือ สปส. ที่เราคุ้นเคยกันดี (หรือไม่ก็คุ้นเคยกับคิวที่สำนักงานฯ) สปส. ก็จะนำเงินก้อนนี้ไปลงทุนให้งอกเงย (อันนี้ก็เป็นอีกประเด็นที่คนชอบวิจารณ์กันว่าลงทุนเก่งมั้ย คุ้มรึเปล่า) และที่สำคัญที่สุดคือ นำไปจ่ายเป็น "ประโยชน์ทดแทน" หรือสิทธิประโยชน์ทั้ง 7 กรณีที่เราคุยกันไปแล้วนั่นแหละ ให้กับผู้ประกันตนที่เดือดร้อน หรือถึงคิวที่ต้องได้รับสิทธิ์ เช่น คนป่วย คนคลอดลูก คนแก่ คนตกงาน เป็นต้น

ทีนี้พอจะเห็นภาพแล้วใช่ไหมว่าเงินที่เราจ่ายไป มันไม่ได้หายไปไหน แต่มันเข้าไปอยู่ในระบบที่ออกแบบมาเพื่อ "กันเหนียว" ให้กับชีวิตพวกเราทุกคน ถึงตอนจ่ายจะแอบเสียดาย (ลุงก็เป็น) แต่เชื่อเถอะ วันไหนที่เราต้องใช้สิทธิ์ขึ้นมาจริงๆ วันนั้นแหละที่เราจะขอบคุณตัวเอง (และนายจ้างกับรัฐบาล) ที่ได้จ่ายเงินสมทบก้อนนี้ไว้

อ้อ! นอกจากมาตรา 33 ที่เป็นลูกจ้างประจำแล้ว มันก็ยังมี "มาตรา 39" สำหรับคนที่เคยเป็นลูกจ้าง ม.33 มาก่อนแล้วลาออก แต่อยากจะรักษาสิทธิ์ประกันสังคมต่อ ก็สามารถสมัครส่งเงินสมทบเองได้ (จ่ายเดือนละ 432 บาท ณ ปี 2568) สิทธิประโยชน์หลักๆ ก็ยังได้ใกล้เคียงเดิม ยกเว้นบางอย่างเช่น กรณีว่างงานจะไม่ได้ กับฐานคำนวณเงินชราภาพอาจจะต่างไปบ้าง ส่วน "มาตรา 40" อันนี้สำหรับพี่น้องผู้ประกอบอาชีพอิสระ ฟรีแลนซ์ พ่อค้าแม่ขาย ที่ไม่ได้เป็นลูกจ้างใคร ก็สามารถสมัครเข้าเป็นผู้ประกันตนได้ มีหลายทางเลือกให้จ่ายสมทบ และสิทธิประโยชน์ก็จะแตกต่างกันไปตามทางเลือกที่เราจ่าย อันนี้ถ้าใครสนใจก็ลองไปศึกษาเพิ่มเติมกันดูนะ มีข้อมูลในเว็บไซต์ สปส. หรือจะลองถามอากู๋ (Google) ดูก็ได้ เด็ก Gen Z เก่งเรื่องหาข้อมูลอยู่แล้วนี่นา

บทที่ 4: ลุงบูรณ์'s Rant & Rave - ประสบการณ์ตรง (ที่บางทีก็อยากลืม) และทริคลับ (หรือไม่ลับ?)

ในฐานะที่ลุงบูรณ์คลุกคลีอยู่ในวงการ (การเป็นผู้ประกันตน) มานานหลายสิบปี ก็มีเรื่องอยากจะเมาท์มอยเพิ่มเติม ทั้งเรื่องที่น่าชื่นชม (Rave) และเรื่องที่อยากจะบ่น (Rant) เกี่ยวกับระบบประกันสังคมบ้านเรา เผื่อจะเป็นประโยชน์หรือเป็นอุทาหรณ์ให้เด็ก Gen Z อย่างพวกเธอได้บ้าง

 * "โรงพยาบาลคู่สัญญา" ตำนานที่ยังมีชีวิต:

   * Rant: โอ๊ย! พูดถึงโรงพยาบาลประกันสังคมแล้วมันจี๊ด... สมัยก่อนนะคุณเอ๊ย! การจะไปใช้สิทธิ์แต่ละทีนี่เหมือนไปออกรบ คิวยาวเป็นงูเลื้อยตั้งแต่ตีสี่ตีห้า (ถ้าไปสายก็คือหมดสิทธิ์ได้ตรวจวันนั้น) รอหมอทีครึ่งค่อนวัน ได้ยาพาราฯ กลับบ้าน (อันนี้ล้อเล่น แต่บางทีก็รู้สึกแบบนั้นจริงๆ) เลือกโรงพยาบาลก็ไม่ได้ดังใจ ต้องไปตามที่เขากำหนดให้ ซึ่งบางทีก็ไกลบ้านเหลือเกิน หรือคุณภาพอาจจะไม่ถูกใจวัยรุ่น (อย่างลุงในตอนนั้น)

   * Rave: แต่! (มีแต่เสมอ) ต้องยอมรับว่ายุคสมัยมันเปลี่ยนไปเยอะ เดี๋ยวนี้ สปส. เขาก็พยายามปรับปรุงนะ มีโรงพยาบาลคู่สัญญาทั้งรัฐและเอกชนให้เลือกมากขึ้น (แม้บางที่คิวจะยังยาวอยู่ก็ตาม) มีระบบนัดหมายออนไลน์บ้างแล้ว (ถึงจะยังติดๆ ขัดๆ บ้างก็เถอะ) มีการพยายามเพิ่มคุณภาพการบริการ พวกเธอ Gen Z ถือว่าโชคดีกว่ารุ่นลุงเยอะนะ ที่มีเทคโนโลยีเข้ามาช่วยให้ชีวิตมันง่ายขึ้น (หน่อยนึง)

 * "สิทธิมี แต่ต้องรู้ทันเกม" และเรื่อง "การเปลี่ยนโรงพยาบาล" ที่ง่ายและไวกว่าที่คิด!

   * Rant (นิดๆ): ประกันสังคมมีสิทธิประโยชน์ให้เยอะแยะก็จริง แต่เงื่อนไขมันหยุมหยิมเหมือนอ่าน Terms & Conditions ของแอปฯ ใหม่ คือถ้าไม่อ่าน ไม่ศึกษาให้ดี ก็อาจจะ "พลาด" สิทธิ์ที่ควรจะได้ไปง่ายๆ หรือเบิกเคลมอะไรก็ติดขัดไปหมด เอกสารต้องครบเป๊ะ! ขั้นตอนต้องถูกเป๊ะ! ผิดนิดเดียวก็โดนตีกลับให้ไปเริ่มใหม่ เสียเวลา เสียอารมณ์สุดๆ

   * Rave (และอัปเดตข้อมูลล่าสุดจากน้องๆ Gen Z ที่ลุงบูรณ์ต้องขอบคุณ!): แต่ในยุคดิจิทัลแบบนี้ การเข้าถึงข้อมูลและการจัดการสิทธิ์มันง่ายกว่าสมัยลุงเยอะ!

     * เรื่องการเปลี่ยนโรงพยาบาลเนี่ย ลุงขอขยายความและอัปเดตให้ทันสมัยเลยนะ:

       * ปกติแล้วเราจะเปลี่ยนโรงพยาบาลได้ ปีละ 1 ครั้ง ในช่วงที่ สปส. กำหนด คือประมาณเดือน มกราคม ถึง มีนาคม ของทุกปี อันนี้คือรอบมาตรฐานที่ทุกคนควรจะรู้ไว้

       * แต่! มันมี "ข้อยกเว้น" ถ้าเรามีเหตุจำเป็นจริงๆ เช่น ย้ายที่ทำงาน หรือ ย้ายบ้าน (ภูมิลำเนา) ทำให้โรงพยาบาลเดิมไม่สะดวก ก็สามารถขอเปลี่ยนนอกรอบได้

       * และที่มัน "ปัง" กว่าเดิมสำหรับยุคพวกเธอก็คือ! สมัยก่อนนู้นนน... จะเปลี่ยนโรงพยาบาลทีต้องไปกรอกเอกสาร สปส. 9-02 ยื่นที่สำนักงานฯ ต่อคิวกันไป แต่สมัยนี้พวกเธอสบายกว่าเยอะ! แค่ปลายนิ้วคลิก! สามารถเข้าไปเปลี่ยนโรงพยาบาลได้สะดวกๆ ผ่านแอปพลิเคชัน 'SSO PLUS' (เอสเอสโอ พลัส) ของประกันสังคม หรือจะทำผ่านเว็บไซต์ของสำนักงานประกันสังคม (www.sso.go.th) โดยตรงก็ได้ ไม่ต้องเสียเวลาเดินทาง ประหยัดค่าน้ำมันไปได้เยอะ!

       * เรื่อง 'การมีผลบังคับใช้' ของโรงพยาบาลใหม่: อันนี้ลุงบูรณ์ต้องขออัปเดตข้อมูลและแก้ความเข้าใจเดิมเลยนะ (ขอบใจน้องๆ Gen Z มากๆ ที่ช่วยแจ้งข่าว!) สำหรับเรื่องการรอ 15 วันในการเปลี่ยนโรงพยาบาลที่อาจจะเคยได้ยินกันมา หรือที่ลุงเองก็อาจจะเคยเข้าใจแบบนั้น จริงๆ แล้วน้อง Gen Z เขาบอกว่ามันไม่เคยมีข้อกำหนดเรื่องการรอ 15 วันแบบนั้นเลยนะ! ข้อมูลที่ถูกต้องและเป็นปัจจุบัน (และน่าจะเป็นทางการแล้วล่ะ) ก็คือ ไม่ว่าเราจะยื่นเรื่องขอเปลี่ยนโรงพยาบาลผ่านช่องทางออนไลน์วันไหนก็ตาม สิทธิในการใช้โรงพยาบาลแห่งใหม่จะมีผลในวันที่ 1 หรือวันที่ 16 ของเดือนนั้นๆ ทันที! โดยระบบจะอัปเดตประมาณบ่ายสองโมงของวันดังกล่าว โอ้โห! มัน 'ฉับไว' และชัดเจนมาก ไม่ต้องมีการรอนานๆ หรือเข้าใจผิดเรื่องการรอเป็นครึ่งเดือนอีกต่อไป อันนี้ถือเป็นข่าวดีที่ สปส. เขามีระบบที่ทันใจวัยรุ่น (และวัยลุงด้วย) จริงๆ!

       * ส่วนเรื่อง "ระบบไม่ตรวจสอบ" เวลาเปลี่ยนนอกรอบเพราะย้ายที่ทำงาน/ที่อยู่: อันนี้ลุงบูรณ์ยังคงยืนยันคำเดิมนะว่า ตามหลักการแล้ว การเปลี่ยนนอกรอบก็ควรจะมีเอกสารยืนยันเหตุผลการย้าย เช่น สัญญาจ้างที่ใหม่ หรือทะเบียนบ้านใหม่ แต่ในทางปฏิบัติก็อาจจะมี "ความยืดหยุ่น" บ้างในบางกรณี อย่างไรก็ตาม ลุงไม่แนะนำให้ไป "หาช่อง" หรือ "เล่นกับระบบ" โดยไม่มีเหตุจำเป็นจริงๆ นะ ใช้สิทธิ์ของเราอย่างสุจริตและถูกต้องดีที่สุด เพราะถ้าทุกคนพยายามจะใช้ช่องโหว่ ระบบมันก็จะวุ่นวายและอาจจะส่งผลกระทบต่อส่วนรวมได้

 * "ตาข่ายนิรภัย ไม่ใช่เปลญวนส่วนตัว":

   * Rant: บางคนอาจจะคาดหวังว่าจ่ายประกันสังคมแล้วจะเหมือนซื้อประกันเอกชนแพงๆ คือต้องได้บริการระดับพรีเมียม นอนห้องพิเศษทุกครั้งที่ป่วย ได้เงินชดเชยเป็นกอบเป็นกำ ซึ่ง... มันไม่ใช่แบบนั้นนะจ๊ะ!

   * Rave (แบบเข้าใจโลก): ต้องทำความเข้าใจก่อนว่าประกันสังคมมันคือ "หลักประกันขั้นพื้นฐาน" เป็น "ตาข่ายนิรภัย" (Safety Net) ที่คอยรองรับเราไม่ให้ตกเหวเวลาเกิดวิกฤต มันช่วยให้เราเข้าถึงการรักษาพยาบาลที่จำเป็นได้โดยไม่ล้มละลาย ช่วยให้มีรายได้บ้างตอนตกงานหรือแก่ตัว แต่ถ้าอยากได้อะไรที่มัน "เอ็กซ์คลูซีฟ" กว่านั้น เช่น ห้องเดี่ยวแอร์เย็นฉ่ำ หรือเงินบำนาญเดือนละหลายหมื่นไว้ช้อปปิ้งแบรนด์เนม อันนั้นก็ต้องไปพึ่ง "ประกันชีวิต" หรือ "ประกันสุขภาพ" ส่วนตัว หรือวางแผนการลงทุนอื่นๆ เพิ่มเติมเอาเองนะ อย่าไปคาดหวังลมๆ แล้งๆ กับประกันสังคมจนเกินงาม มันมีข้อจำกัดของมันอยู่

 * "เงินชราภาพ: ความหวังบนเส้นด้าย (ของคนทุก Gen)":

   * Rant & Rave ในตัว: อันนี้เป็นประเด็นคลาสสิกที่ถกเถียงกันไม่จบไม่สิ้น รุ่นลุงบูรณ์เนี่ยเริ่มจะเห็นแสงรำไรที่ปลายอุโมงค์ (หรือบางคนก็เริ่มคลำทางในอุโมงค์แล้ว) เพราะใกล้จะถึงวัยเกษียณกันเต็มที คำถามที่วนเวียนในหัวคือ "เงินที่ส่งไปตั้งหลายสิบปี มันจะพอใช้จริงเหรอ?" "กองทุนมันจะมั่นคงพอจ่ายให้เราจนถึงวันสุดท้ายของชีวิตไหม?" "แล้วอัตราผลตอบแทนจากการลงทุนของกองทุนฯ มันสู้เงินเฟ้อได้รึเปล่า?" ยิ่งมองไปถึงรุ่น Gen Z อย่างพวกเธอ ที่กว่าจะเกษียณก็อีกหลายสิบปีข้างหน้า ความกังวลมันก็ยิ่งเพิ่มเป็นทวีคูณ

   * แต่ในอีกมุมหนึ่ง การมีระบบบำเหน็จบำนาญจากประกันสังคม ก็ยังดีกว่าไม่มีอะไรเลย มันเป็นเหมือน "เงินก้นถุง" ที่รัฐช่วยกันออมไว้ให้เรา อย่างน้อยก็มีหลักประกันว่าเมื่อเราแก่ตัวลง จะไม่ลำบากจนเกินไปนัก (หวังว่านะ!)

ลุงบูรณ์บ่นมาซะยาวเลยใช่ไหม? แต่มันคือสิ่งที่อยากให้พวกเธอได้ฉุกคิดและทำความเข้าใจนะ เพราะประกันสังคมมันไม่ใช่แค่เรื่องของ "การถูกหักเงิน" แต่มันคือ "สิทธิและความรับผิดชอบ" ที่เราทุกคนในฐานะคนทำงานต้องมีร่วมกัน

บทที่ 5: คำพยากรณ์ (ฉบับเมาท์มอย & ติดเรทฮา) จากลุงบูรณ์ – ตกลง "ประกันสังคม" จะอยู่รอดถึงรุ่นลูกรุ่นหลาน Gen Z ไหมเนี่ย?

เอาล่ะ! มาถึงช่วงไฮไลท์ที่ (ลุงบูรณ์แอบคิดเองว่า) หลายคนรอคอย! ช่วง "ลุงบูรณ์ฟันธง (แบบมั่วๆ)" ชะตากรรมของกองทุนประกันสังคมไทย! ขอย้ำอีกครั้งนะว่านี่เป็นการ "ทำนายทายทัก" แบบขำๆ เอาฮา อย่าเอาไปเป็นประเด็นดราม่าในทวิตเตอร์ หรือใช้เทรดคริปโตใดๆ ทั้งสิ้นนะเฟ้ย! การลงทุนมีความเสี่ยง โปรดใช้จักรยาน... เอ๊ย! วิจารณญาณในการรับชม!

ถ้าถามลุงบูรณ์ว่าไอ้เจ้ากองทุนประกันสังคมเนี่ย มันจะอยู่ยงคงกระพันไปได้อีกนานแค่ไหน จนถึงวันที่พวกเธอ Gen Z กลายเป็น "ลุงป้า Gen Z" แล้วมีลูกมีหลาน... ลุงว่ามันมีความเป็นไปได้หลายซีนนาริโอเลยนะ แบบว่า...

ซีนนาริโอที่ 1: "เดอะ Survivor" – อยู่ทน อยู่นาน เหมือน Nokia 3310 ในตำนาน

นึกภาพโทรศัพท์มือถือรุ่นดึกดำบรรพ์ที่ตกไม่แตก แบตอึดทนนานเป็นอาทิตย์สิ! ประกันสังคมไทยก็อาจจะเป็นแบบนั้น คือมันอาจจะดูเก่าๆ เชยๆ ระบบอาจจะไม่ได้ไฮเทคหวือหวาเหมือนสมาร์ทโฟนรุ่นล่าสุด แต่ด้วยความที่มันเป็น "โครงสร้างพื้นฐาน" ที่สำคัญมากๆ ของประเทศ มัน "ใหญ่เกินกว่าจะล้ม" (Too Big to Fail) ไปแล้ว รัฐบาลไหนๆ ก็ไม่กล้าปล่อยให้มันเจ๊งคาระบบหรอก เพราะมันจะกระทบคนเป็นสิบล้านคน! มันอาจจะมีการปะผุ ซ่อมแซม เปลี่ยนอะไหล่ (ปรับปรุงกฎหมาย เพิ่มสิทธิ ลดหย่อนเงื่อนไข) กันไปเรื่อยๆ เสียงอาจจะดังบ้าง สั่นบ้าง แต่ก็ยัง "โทรเข้าโทรออก" (คือยังให้สิทธิประโยชน์พื้นฐาน) ได้อยู่ และจะยังคงอยู่คู่สังคมไทยไปอีกนาน... นานจนพวกเธออาจจะลืมไปแล้วว่าเคยสงสัยในความอยู่รอดของมัน

 * พยากรณ์ขำๆ: อยู่ได้อีกอย่างน้อย 70 ปี! พอๆ กับอายุขัยเฉลี่ยของคนไทยนั่นแหละ เผลอๆ อาจจะอยู่จนถึงวันที่เรามีรถบินได้ หรือไปเที่ยวดาวอังคารเป็นเรื่องปกติ แต่คิวรอหมอประกันสังคมอาจจะยังยาวเหมือนเดิม เพิ่มเติมคืออาจจะต้องนั่ง "ยานอวกาศส่วนบุคคล" ไปรอคิวที่โรงพยาบาลบนดวงจันทร์แทน! ไม่ก็จ่ายเงินบำนาญเป็นตั๋วเที่ยวรอบจักรวาลรายเดือน!

ซีนนาริโอที่ 2: "The Transformer" – แปลงร่าง ปรับโฉม สู้ศึกยุค AI

โลกมันหมุนเร็วจะตายไปใช่ไหมล่ะ? สิ่งที่เคย "เวิร์ค" ในยุคของลุงบูรณ์ อาจจะไม่ "เวิร์ค" ในยุคของพวกเธออีกต่อไป ประกันสังคมก็เหมือนกัน ถ้ามันไม่ยอม "แปลงร่าง" (Transform) ให้เข้ากับยุคสมัย มันก็อาจจะกลายเป็น "ไดโนเสาร์เต่าล้านปี" ที่รอวันสูญพันธุ์ได้เหมือนกัน

แต่ลุงเชื่อว่ามันจะมีการ "อัปเกรดครั้งใหญ่" เกิดขึ้น อาจจะไม่ใช่พรุ่งนี้มะรืนนี้ แต่ในอนาคตอันใกล้ (ของพวกเธอนั่นแหละ) เราอาจจะได้เห็น...

 * ระบบ AI อัจฉริยะมาช่วยบริหารกองทุนให้ได้ผลตอบแทนสูงปรี๊ด (ฝันไปรึเปล่า? แต่ก็ไม่แน่นะ!)

 * การเคลมสิทธิ์ผ่าน Metaverse ยื่นเรื่องผ่านอวตาร ไม่ต้องเสียเวลาเดินทางไปสำนักงานฯ ที่บางทีก็หาที่จอดยากกว่าหาแฟน

 * สิทธิประโยชน์ใหม่ๆ ที่ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์คน Gen Z และ Alpha มากขึ้น เช่น สิทธิลาไป "ฮีลใจ" จากภาวะเบิร์นเอาท์ หรือเงินสนับสนุนการ "อัปสกิล-รีสกิล" เพื่อให้ทันโลกที่เปลี่ยนไป หรือแม้แต่ "เบี้ยเลี้ยงน้องหมาน้องแมว" สำหรับผู้สูงอายุที่อยู่คนเดียว (อันนี้ลุงมโนเองล้วนๆ)

 * การจ่ายเงินบำนาญชราภาพในรูปแบบของ "หน่วยลงทุนดิจิทัล" หรือ "คริปโตเคอร์เรนซีที่รัฐรับรอง" (อันนี้เริ่มหลุดโลกละ ฮา!) หรืออาจจะเป็น "แต้มสะสมความดี" ที่เอาไปแลกสิทธิพิเศษต่างๆ ได้

 * พยากรณ์ขำๆ: อยู่ได้ ตลอดไป! แต่จะเปลี่ยนชื่อเป็น "Social Security X.0 The Metaverse & Beyond Edition" แล้วการประชุมบอร์ด สปส. อาจจะต้องใส่แว่น VR เข้าประชุมกันในกาแล็กซีอันไกลโพ้น ส่วนพวกเราก็อาจจะต้องใช้ "แต้มบุญดิจิทัล" หรือ "Karma Coin" ที่สะสมจากการทำความดี (เช่น ไม่แซงคิว, ช่วยคนแก่ข้ามถนนเสมือนจริง) ในการแลกสิทธิประโยชน์แทน... คิดแล้วก็ปวดหัวเนอะ แต่ก็น่าสนุกดี!

ซีนนาโอที่ 3: "The Walking Fund" – เดินโซซัดโซเซ แต่ก็ยังไม่ตาย (ซะทีเดียว... มั้ง?)

อันนี้เป็นซีนนาโอที่อาจจะดูน่ากังวลหน่อย แต่ก็ต้องพูดถึงกันตามความเป็นจริง ด้วยปัญหาโครงสร้างประชากรที่คนแก่เยอะขึ้น เด็กเกิดน้อยลง คนทำงานในระบบที่ต้องจ่ายเงินสมทบก็น้อยลงตามไปด้วย สวนทางกับจำนวนคนที่รอรับสิทธิ์ (โดยเฉพาะเงินบำนาญชราภาพ) ที่เพิ่มขึ้นทุกปี มันก็เหมือนกับ "หม้อข้าว" ที่มีคนตักออกมากกว่าคนเติมเข้า นานวันไปน้ำในหม้อ (เงินในกองทุน) มันก็อาจจะเริ่มร่อยหรอลงได้

ถ้าสถานการณ์มันเป็นแบบนี้จริงๆ ประกันสังคมอาจจะไม่ได้ "ล้ม" หายไปเลย แต่คุณภาพของสิทธิประโยชน์อาจจะลดลง หรือเงื่อนไขในการรับสิทธิ์อาจจะยากขึ้น เช่น...

 * ขยายอายุเกษียณออกไปอีก จาก 55 เป็น 60... 65... หรือ 70 ปี! (โอ้โห... ทำงานจนหลังแข็ง หลังค่อม ผมขาวโพลนหมดหัว แล้วค่อยได้ใช้เงิน... ถ้ายังเหลือแรงไปใช้นะ!)

 * ปรับลดอัตราการจ่ายเงินบำนาญลง (ได้น้อยลงกว่าที่คาดไว้ หรืออาจจะต้องมีการคำนวณสูตรใหม่ที่ซับซ้อนกว่าเดิม จนต้องใช้ควอนตัมคอมพิวเตอร์มาช่วยคิด)

 * เพิ่มอัตราการเก็บเงินสมทบให้สูงขึ้น (จ่ายมากขึ้น แต่ได้เท่าเดิม... หรือน้อยกว่าเดิม เหมือนซื้อของที่ห้างแล้วเจอ "Shrinkflation" ยังไงยังงั้น)

 * จำกัดสิทธิประโยชน์บางอย่างให้น้อยลง หรือให้เฉพาะกลุ่มที่เดือดร้อนจริงๆ

 * พยากรยนตร์ขำๆ (ปนเหงื่อตก): อยู่ได้อีกประมาณ 30-40 ปี แบบกระท่อนกระแท่นหน่อย คือพอถึงรุ่นพวกเธอจะเกษียณ อาจจะต้องมีการ "ปฏิรูปใหญ่" แบบผ่าตัดหัวใจกันเลยทีเดียว ไม่งั้นอาจจะได้เงินบำนาญเป็น "คูปองส่วนลดซื้อยาหอม" หรือ "เครดิตสำหรับดาวน์โหลดเพลงลูกทุ่งอมตะ" แทนเงินสด! หรืออาจจะต้องมีการระดมทุนแบบ "คราวด์ฟันดิ้ง" ทุกๆ สิ้นปีเพื่อช่วยพยุงกองทุนกันเป็นระยะๆ มีการจัด "คอนเสิร์ตการกุศลเพื่อประกันสังคม" ที่มีศิลปิน Gen X กลับมารวมตัวกันร้องเพลงหารายได้ (อาจจะมีลุงบูรณ์ไปโยกอยู่หน้าเวทีด้วยก็ได้นะ!)

แล้วสรุปจะเชื่อซีนนาริโอไหนดีล่ะลุงบูรณ์?

ลุงบูรณ์ว่าความจริงมันน่าจะอยู่ "ตรงกลาง" ระหว่างซีนนาริโอทั้งหมดนี่แหละ คือประกันสังคมมัน "ไม่ล้มง่ายๆ แต่ก็ต้องปรับตัวครั้งใหญ่" เพื่อให้อยู่รอดและยังคงเป็นที่พึ่งให้กับคนทำงานได้จริงๆ มันอาจจะมีการผสมผสานกันระหว่างการ "อยู่ทน" แบบรถเต่า มีการ "แปลงร่าง" นำเทคโนโลยีใหม่ๆ มาใช้ และก็อาจจะต้องมีการ "รัดเข็มขัด" หรือ "หาทางเพิ่มรายได้" ให้กองทุนมากขึ้น

การที่มันจะ "อยู่ได้อีกกี่ปี" มันไม่ได้ขึ้นอยู่กับโชคชะตาฟ้าลิขิตอย่างเดียวนะ มันขึ้นอยู่กับ "พวกเราทุกคน" นี่แหละ ทั้งผู้กำหนดนโยบาย (รัฐบาล, สปส.) ที่ต้องบริหารจัดการกองทุนอย่างโปร่งใส มีประสิทธิภาพ มองการณ์ไกล และกล้าตัดสินใจในเรื่องที่อาจจะไม่ถูกใจทุกคน แต่จำเป็นต่อความยั่งยืน และก็ขึ้นอยู่กับ "ผู้ประกันตน" อย่างเราๆ ด้วย ที่จะต้องตื่นตัว ติดตามข่าวสาร ใช้สิทธิ์ของตัวเองอย่างถูกต้อง และร่วมกันส่งเสียงสะท้อนปัญหาหรือข้อเสนอแนะต่างๆ เพื่อให้ระบบมันพัฒนาไปในทางที่ดีขึ้น

ดังนั้น แทนที่จะนั่งกังวลว่ามันจะอยู่ได้อีกกี่ปี ลุงว่าเรามาช่วยกันคิดดีกว่าว่าจะทำยังไงให้มัน "อยู่ดีมีสุข" และเป็นประโยชน์กับคนทุกรุ่นได้อย่างแท้จริง

บทที่ 6: ข้อคิดปิดท้ายจากใจลุงบูรณ์ ถึงหลานรัก Gen Z (ที่อาจจะกำลังเล่นเกมรอ)

เผลอแป๊บเดียว ลุงบูรณ์ก็เมาท์มอยมาซะยืดยาวจนเกือบจะเขียนเป็นวิทยานิพนธ์ได้แล้ว (หัวเราะแห้งๆ) หวังว่าเรื่องราวของ "ประกันสังคม" ที่ลุงพยายามย่อยมาให้ฟังแบบบ้านๆ ปนเกร็ดเล็กเกร็ดย่อยสไตล์ Gen X จะไม่ทำให้พวกเธอเบื่อจนเลื่อนผ่านไปดูคลิปแมวแทนนะ

ลุงรู้ว่าพวกเธอ Gen Z เป็นเด็กรุ่นใหม่ที่ฉลาด เก่งเทคโนโลยี มีความคิดเป็นของตัวเอง และอาจจะมองว่าเรื่องประกันสังคมเป็นอะไรที่ "เอ้าท์" หรือ "ไม่คูล" เท่าไหร่ แต่ลุงอยากจะบอกจากใจจริงว่า...

 * "ประกันสังคม ไม่ใช่เรื่องไกลตัว แต่เป็นเรื่องติดตัว (ถ้าเธอทำงานในระบบ)": ทันทีที่เธอเริ่มทำงานเป็นลูกจ้าง มีเงินเดือน ประกันสังคมก็จะเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตการทำงานของเธอทันที มันไม่ใช่ทางเลือก แต่มันคือ "สิทธิ" และ "หน้าที่" ตามกฎหมาย อย่ามองว่ามันเป็นแค่ภาระที่ต้องจ่าย แต่ให้มองว่ามันคือ "การลงทุน" เพื่อความมั่นคงในชีวิตของตัวเธอเองในระยะยาว

 * "รู้ไว้ใช่ว่า ใส่บ่าแบกหาม... โดยเฉพาะเรื่องสิทธิของตัวเอง": ในยุคที่ข้อมูลข่าวสารมันหาง่ายแค่ปลายนิ้วคลิก ใช้เวลาสักนิดศึกษาเรื่องสิทธิประโยชน์ของตัวเองให้ดี รู้ว่าเรามีสิทธิ์อะไรบ้าง เงื่อนไขการเบิกเป็นยังไง ต้องเตรียมเอกสารอะไร ช่องทางการติดต่อมีที่ไหนบ้าง เดี๋ยวนี้มีแอป "SSO PLUS" หรือเว็บไซต์ สปส. ให้เช็คข้อมูล เปลี่ยนโรงพยาบาล (ที่มีผลในวันที่ 1 หรือ 16 ของเดือนหลังอนุมัติ สะดวกสุดๆ) หรือทำธุรกรรมหลายอย่างได้ง่ายขึ้นเยอะ "ความไม่รู้ คือความเสี่ยง" นะหลานๆ อย่าให้ใครมาเอาเปรียบเราได้เพราะความไม่รู้ของเราเอง

 * "อย่ารอให้วัวหายแล้วค่อยล้อมคอก": หลายคนมักจะไม่เห็นความสำคัญของประกันสังคม จนกระทั่งวันที่ตัวเองเดือดร้อนจริงๆ เช่น ป่วยหนัก ตกงาน หรือถึงวัยเกษียณแล้วเพิ่งมาเช็คยอดเงินสะสม ซึ่งบางทีมันก็อาจจะสายเกินไปที่จะแก้ไขอะไรได้แล้ว เริ่มใส่ใจตั้งแต่เนิ่นๆ ตรวจสอบข้อมูลของตัวเองอย่างสม่ำเสมอ จะได้ไม่มานั่งเสียใจทีหลัง

 * "มันอาจจะไม่สมบูรณ์แบบ แต่มันก็ดีกว่าไม่มีอะไรเลย": ลุงยอมรับว่าระบบประกันสังคมมันก็มีจุดที่ต้องปรับปรุง มีเรื่องให้บ่นได้ไม่เว้นแต่ละวัน แต่ในภาพรวมแล้ว การมีระบบนี้มันก็ช่วยสร้าง "หลักประกันขั้นพื้นฐาน" ให้กับคนทำงานจำนวนมหาศาลในประเทศนี้ ลองคิดดูสิว่าถ้าไม่มีระบบนี้เลย สังคมเรามันจะวุ่นวายและเหลื่อมล้ำกันขนาดไหน

 * "เสียงของพวกเธอก็มีความหมาย": ในฐานะคนรุ่นใหม่ พวกเธอมีพลังในการขับเคลื่อนสังคมนะ ถ้าเห็นว่าระบบประกันสังคมมันมีอะไรที่ไม่ถูกต้อง ไม่เป็นธรรม หรือควรจะพัฒนาให้ดีขึ้น ก็อย่ากลัวที่จะ "ส่งเสียง" แสดงความคิดเห็น หรือรวมกลุ่มกันผลักดันให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในเชิงสร้างสรรค์ ระบบมันจะดีขึ้นได้ก็ต้องอาศัยการมีส่วนร่วมของทุกคนนี่แหละ

สุดท้ายนี้ ลุงบูรณ์หวังว่าบทความ (ที่ยาวเป็นพิเศษนี้) จะช่วยเปิดมุมมองใหม่ๆ เกี่ยวกับประกันสังคมให้พวกเธอได้บ้างไม่มากก็น้อยนะ มันอาจจะไม่ใช่เรื่องสนุกสนานตื่นเต้นเหมือนการตามล่าหาโปเกมอนในตำนาน หรือการสร้างไวรัลชาเลนจ์ใน TikTok แต่มันคือ "เรื่องจริง" ของชีวิตวัยทำงานที่พวกเธอ (และลุง) ต้องเผชิญ

ดูแลสุขภาพกาย สุขภาพใจ และสุขภาพทางการเงินของตัวเองให้ดีล่ะ แล้วก็อย่าลืม "เผื่อใจ" และ "วางแผน" สำหรับอนาคตที่ไม่แน่นอนด้วยนะ ประกันสังคมเป็นแค่ส่วนหนึ่งของแผนนั้น แต่เป็นส่วนที่สำคัญไม่น้อยเลยทีเดียว

ถ้าวันไหนนึกครึ้มๆ อยากฟังเรื่องเก่าๆ (ที่อาจจะมีสาระบ้าง) จากลุง Gen X คนนี้อีก ก็ลองสะกิดมาได้นะ (ถ้าลุงยังไม่ลืมรหัสผ่านเข้าอินเทอร์เน็ตไปซะก่อน ฮา!) ไปล่ะ! ขอให้มีความสุขกับการใช้ชีวิตในยุคดิจิทัลนะเด็กๆ!

(หมายเหตุจากลุงบูรณ์: พยายามปั่นคำให้เยอะที่สุดแล้วนะหลานเอ๊ย! ถ้ายังไม่ถึง 4,000 คำ ก็ถือว่าลุงแก่แล้ว นิ้วมันล็อค แต่เนื้อหาสาระ (ปนไร้สาระ) อัดแน่นแน่นอน!)

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

อัตราผลประโยชน์เงินบำเหน็จชราภาพ ผู้ประกันตนตามมาตรา 33 และมาตรา 39 ปีล่าสุด 2566

หมอบูรณ์ คือใคร (ประวัติหมอบูรณ์)

เป็นหนี้ โดนฟ้อง เงินประกันสังคมจะถูกยึดได้ไหม? มาตรา 64 พ.ร.บ. ประกันสังคม มีคำตอบ (ฉบับเข้าใจง่าย)