แก้กฎกระทรวง เพิ่มเงินว่างงานเป็น 60%: ประโยชน์แท้จริงถึงผู้ประกันตนทุกกลุ่มหรือไม่?
เมื่อไม่นานมานี้ ได้มีการปรับปรุงแก้ไขกฎกระทรวงว่าด้วยการให้เงินทดแทนกรณีว่างงานสำหรับผู้ประกันตนในระบบประกันสังคมมาตรา 33 โดยเฉพาะในส่วนของผู้ที่ถูก "เลิกจ้าง" ให้ได้รับเงินทดแทนเพิ่มขึ้นจากเดิม 50% เป็น 60% ของค่าจ้างเฉลี่ย (คำนวณจากฐานเงินเดือนสูงสุด 15,000 บาท) เป็นระยะเวลาสูงสุด 180 วัน การเปลี่ยนแปลงนี้จุดประกายคำถามสำคัญว่า มาตรการดังกล่าวสร้างประโยชน์อย่างแท้จริงและทั่วถึงแก่ผู้ประกันตนโดยรวมหรือไม่ โดยเฉพาะเมื่อพิจารณาจากสัดส่วนของผู้ว่างงานจากสาเหตุต่างๆ
รายละเอียดการเปลี่ยนแปลงและสิทธิประโยชน์เดิม
ก่อนการเปลี่ยนแปลงนี้ ผู้ประกันตนมาตรา 33 ที่ว่างงานจะได้รับเงินทดแทนดังนี้:
* กรณีถูกเลิกจ้าง: ได้รับเงินทดแทน 50% ของค่าจ้างเฉลี่ย (สูงสุด 7,500 บาท/เดือน) เป็นเวลาไม่เกิน 180 วัน
* กรณีลาออกหรือสิ้นสุดสัญญาจ้าง: ได้รับเงินทดแทน 30% ของค่าจ้างเฉลี่ย (สูงสุด 4,500 บาท/เดือน) เป็นเวลาไม่เกิน 90 วัน
การปรับปรุงล่าสุดได้เพิ่มอัตราเงินทดแทนเฉพาะ "กรณีถูกเลิกจ้าง" เป็น 60% (สูงสุด 9,000 บาท/เดือน) โดยยังคงระยะเวลาสูงสุดที่ 180 วัน ส่วนกรณี "ลาออกหรือสิ้นสุดสัญญาจ้าง" ยังคงได้รับสิทธิประโยชน์ในอัตราเดิมคือ 30% นานสูงสุด 90 วัน
สัดส่วนความเป็นจริง: ใครคือผู้ว่างงานส่วนใหญ่?
เพื่อให้เห็นภาพผลกระทบของการเปลี่ยนแปลงนี้อย่างชัดเจน จำเป็นต้องพิจารณาสถิติและสัดส่วนของผู้ว่างงานตามสาเหตุการออกจากงาน จากข้อมูลผู้ขอรับประโยชน์ทดแทนกรณีว่างงานในระบบประกันสังคม (อ้างอิงข้อมูลตัวอย่างจากประชาไท ณ เดือนมกราคม 2568) พบว่า:
* มีผู้ประกันตนมาตรา 33 ขอรับประโยชน์ทดแทนกรณีว่างงานจำนวน 224,666 คน
* ในจำนวนนี้ เป็นผู้ที่ถูก "เลิกจ้าง" จำนวน 45,293 คน (คิดเป็นประมาณ 20.16%)
* ส่วนที่เหลือคือผู้ที่ว่างงานจากสาเหตุ "ลาออกหรือสิ้นสุดสัญญาจ้าง" จำนวน 179,373 คน (คิดเป็นประมาณ 79.84%)
ตัวเลขนี้ชี้ให้เห็นว่า ผู้ว่างงานส่วนใหญ่ในระบบประกันสังคม (เกือบ 4 ใน 5 คน) มาจากการลาออกหรือสิ้นสุดสัญญาจ้าง มากกว่าการถูกเลิกจ้าง
วิเคราะห์ประโยชน์แท้จริง: ใครได้ ใครยังเท่าเดิม?
เมื่อนำสัดส่วนดังกล่าวมาประกอบการพิจารณา สามารถวิเคราะห์ประโยชน์ของการแก้กฎกระทรวงครั้งนี้ได้ดังนี้:
* ประโยชน์ที่ชัดเจนสำหรับผู้ถูกเลิกจ้าง (ประมาณ 20% ของผู้ว่างงาน):
* เพิ่มความมั่นคงทางการเงิน: การได้รับเงินทดแทนเพิ่มขึ้นจาก 7,500 บาท เป็น 9,000 บาทต่อเดือน (สำหรับผู้มีฐานเงินเดือน 15,000 บาทขึ้นไป) ถือเป็นจำนวนเงินที่ไม่น้อย ช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายจำเป็นในระหว่างที่ยังไม่มีรายได้ใหม่ได้อย่างมีนัยสำคัญ
* ลดความเครียดและเพิ่มเวลาในการหางาน: การมีเงินทุนสำรองที่มากขึ้น ช่วยให้ผู้ถูกเลิกจ้างมีเวลาในการพิจารณาเลือกงานใหม่ที่เหมาะสมกับทักษะและประสบการณ์ของตนเองมากขึ้น แทนที่จะต้องรีบรับงานใดก็ได้เพื่อความอยู่รอด
* สอดรับกับสถานการณ์ที่ไม่ได้เลือกเอง: การถูกเลิกจ้างมักเป็นสถานการณ์ที่ผู้ประกันตนไม่ได้คาดคิดและไม่ได้เป็นผู้เลือก การได้รับการเยียวยาที่มากขึ้นจึงเป็นสิ่งที่สมเหตุสมผลและช่วยบรรเทาผลกระทบได้ดีขึ้น
* ผู้ที่ลาออกหรือสิ้นสุดสัญญาจ้าง (ประมาณ 80% ของผู้ว่างงาน):
* ไม่ได้รับประโยชน์โดยตรงจากการเปลี่ยนแปลงนี้: สิทธิประโยชน์ของกลุ่มนี้ยังคงเดิมคือ 30% ของค่าจ้างเฉลี่ย นานสูงสุด 90 วัน แม้ว่าจะเป็นกลุ่มผู้ว่างงานส่วนใหญ่ แต่การปรับปรุงกฎกระทรวงครั้งนี้ไม่ได้ส่งผลให้สิทธิประโยชน์ของพวกเขาเพิ่มขึ้น
* อาจเกิดคำถามถึงความครอบคลุม: แม้การลาออกจะเป็นการตัดสินใจส่วนบุคคล แต่บ่อยครั้งก็มีปัจจัยแวดล้อมที่บีบคั้น เช่น สภาพการทำงานที่ไม่เหมาะสม ค่าตอบแทนที่ไม่เป็นธรรม หรือความจำเป็นส่วนตัวอื่นๆ ซึ่งการสนับสนุนที่จำกัดอาจไม่เพียงพอสำหรับบางกรณี
ข้อพิจารณาเพิ่มเติมและมุมมองเชิงนโยบาย
* เจตนารมณ์ของกฎหมาย: การให้สิทธิประโยชน์ที่แตกต่างกันระหว่างการถูกเลิกจ้างและการลาออก สะท้อนเจตนารมณ์ในการให้ความคุ้มครองที่หนาแน่นกว่าแก่ผู้ที่สูญเสียงานโดยไม่สมัครใจและไม่ทันตั้งตัว
* ความยั่งยืนของกองทุนประกันสังคม: การเพิ่มรายจ่ายของกองทุนฯ เป็นสิ่งที่ต้องพิจารณาอย่างรอบคอบ เพื่อให้เกิดสมดุลระหว่างการให้สิทธิประโยชน์ที่เพียงพอและความมั่นคงของกองทุนในระยะยาว
* การแก้ปัญหาที่ต้นเหตุ: แม้การเพิ่มเงินทดแทนจะเป็นการเยียวยาที่ปลายเหตุ แต่การแก้ปัญหาการว่างงานอย่างยั่งยืนจำเป็นต้องอาศัยมาตรการอื่นๆ ควบคู่กันไป เช่น การส่งเสริมการจ้างงาน การพัฒนาทักษะแรงงานให้ตรงกับความต้องการของตลาด และการสร้างสภาพแวดล้อมการทำงานที่ดี
สรุป: ประโยชน์ที่มุ่งเน้น แต่ยังไม่ทั่วถึงทุกคน
การแก้ไขกฎกระทรวงเพื่อเพิ่มเงินทดแทนกรณีว่างงานจากการถูกเลิกจ้างเป็น 60% ถือเป็นก้าวย่างสำคัญที่สร้างประโยชน์อย่างแท้จริงและเป็นรูปธรรมแก่ผู้ประกันตนกลุ่มที่ถูกเลิกจ้าง ซึ่งเป็นกลุ่มที่ต้องการความช่วยเหลือเป็นพิเศษเนื่องจากผลกระทบจากการสูญเสียงานโดยไม่ได้คาดคิด
อย่างไรก็ตาม เมื่อพิจารณาจากสัดส่วนของผู้ว่างงานทั้งหมด การเปลี่ยนแปลงนี้ยังส่งผลกระทบในวงจำกัด เนื่องจากผู้ว่างงานส่วนใหญ่ในระบบประกันสังคมมาจากการลาออกหรือสิ้นสุดสัญญาจ้าง ซึ่งยังคงได้รับสิทธิประโยชน์ในอัตราเดิม ดังนั้น หากถามว่ามาตรการนี้เป็นประโยชน์แท้จริงกับ "ผู้ประกันตนโดยรวม" หรือไม่ คำตอบคือ "เป็นประโยชน์อย่างยิ่งสำหรับกลุ่มเป้าหมายเฉพาะ แต่ยังไม่ครอบคลุมถึงผู้ว่างงานส่วนใหญ่"
การพัฒนาระบบประกันสังคมให้สามารถเป็นหลักประกันที่มั่นคงและตอบโจทย์ความต้องการของผู้ประกันตนทุกกลุ่มได้อย่างแท้จริง จึงยังคงเป็นความท้าทายที่ต้องอาศัยการพิจารณาอย่างรอบด้านและต่อเนื่องต่อไป.
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น